วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ลำดับของการเข้าและออกสมาบัติ

    ผู้เขียนทราบว่าการตักบาตรกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัตินั้นมีกุศลมหาศาล เฝ้าอธิษฐานจิตใฝ่ฝันจะตักบาตรกับพระคุณเจ้าสักครั้งหรือหลาย ๆ ครั้ง เมื่อเกือบสิบปีที่แล้วนั่งสนทนากับอาจารย์ท่านหนึ่ง อยู่ ๆ ท่านก็พูดว่าผู้เขียนจะสำเร็จความปรารถนาเรื่องนี้ได้ก็ต่อเมื่อหมั่นทำภาวนาจนพบกับพระที่มีบุพกรรมร่วมกัน ท่านจะส่งกระแสจิตมานัดหมายเอง ผ่านมาจนบัดนี้ผู้เขียนเกียจคร้านการภาวนาไม่เอาอ่าว ไม่มีใครส่ง GPS มานัดหมาย ท่านอาจารย์คงสงสารเลยบอกว่าท่านเข้านิโรธได้แต่ไม่อาจบอกวันออกจากนิโรธได้ ผู้เขียนต้องรู้เองจากนิมิต ผู้เขียนได้แต่รำพันว่าโธ่เอ๋ยอยู่ใกล้กันไม่กี่ก้าวจะถวายแบรนด์ซุปไก่สักจิบยังไม่รู้วันเลย ผู้ที่เข้านิโรธนั้นร่างกายขาดน้ำขาดออาหารทรุดโทรมได้ง่าย เท่าที่ทราบหลังจากท่านออกจากนิโรธครั้งล่าสุดท่านก็ไม่ได้เข้าอีกเลย ท่านเล่าว่าเท่าที่ทราบหลวงพ่อเกษม เขมโกนั้นเข้านิโรธสมาบัติได้นานถึงสามเดือนนับว่าเป็นยอดอริยะที่แข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ อาจารย์ท่านนี้ยังเมตตาอธิบายลำดับการเข้าและออกสมาบัติเจ็ดวันประดับปัญญาผู้เขียนดังนี้

วันที่หนึ่ง เจ็บปวดร่างกาย
วันที่สอง ดูไฟธาตุตามห้องต่าง ๆ เช่นหัวใจ ดูทุกข์ เวทนา เสวยสุข เสวยปีติ ต้องอย่ายึดติดในขั้นตอนนี้
วันที่สาม-สี่ ร่างกายส่งเสียงกรีดร้อง พิจารณาเวทนา อย่าหนีออกจากนิโรธ
วันที่ห้า-หก หยุดนึก หยุดคิดว่างเปล่า ไม่มีตัวตน
วันที่เจ็ด ระลึกถึงบุพกรรม ตรวจตราว่าออกจากนิโรธแล้วจะไปโปรดใครเพื่อใช้กรรม

เรื่องนี้ซับซ้อนเกินกว่าผู้เขียนจะย่อหรือขยาย ผิดพลาดตกหล่นอย่างไรต้องขออโหสิกรรมมา ณ ที่นี้

สำหรับผู้เขียนนั้นคงจะเฝ้าอธิษฐานต่อไปจนกว่าจะพบพระผู้มีบุพกรรมร่วมกันมาโปรด จะสมหวังหรือผิดหวังไม่อาจทราบได้ ขอเขียนเรื่องนี้เป็นความรู้สาธารณะเผื่อท่านใดอยากกบาตรกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติเหมือนผู้เขียนก็ขอโปรดเร่งสร้างความดี หมั่นอธิษฐานจิตกันสืบไป สาธุอนุโมทามิ


วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์

พี่หน่องใกล้ออกพรรษาแล้ว ผู้เขียนสวดมนต์ไหว้พระน้อมอุทิศบุญถวายในหลวง ร.9 เสร็จ                  ไลน์พี่หน่องก็มาพอดี ในฐานะที่พี่หน่อง อนุญาตการเผยแพร่แบบอัติโนมัติ ผู้เขียนจึงเผยแพร่ต่อไปในฐานะความรู้มีคุณค่า

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เมื่อเช้าได้นั่งสมาธิถวายให้พระองค์ท่านไปแล้ว รู้สึกดีจัง ถือเป็นปฏิบัติบูชาส่วนตัวที่ได้นึกทบทวนถึงพระองค์ ได้พบความคิดว่าตัวเองชอบคิดแต่วันพรุ่งนี้ว่าจะทำอะไรบ้าง แต่การนั่งสมาธิได้ย้อนกลับไปหาความทรงจำในอดีตที่ดีงาม และพบว่าความทรงจำดี ๆ นี่ต้องสะสมกันเอาเอง เก็บไว้ได้มาก เวลานึกย้อนก็ชุ่มใจได้มาก นึกแผ่กุศลไปรอบตัวรอบทิศไปสู่ทุกชีวิตเห็นเป็นภาพพลังงานจากตัวเราที่กระจายออกไปรอบตัว นึกเห็นหลากหลายร้อยพันหมื่นแสนล้านชีวิตบริเวณที่นั่งสมาธิว่าเกิดดับทับถมเวียนวนทนทุกข์สุขอยู่ตรงรอบ ๆ นี้ เพิ่งได้ค้นพบความสุขอีกแบบ สุขจากการนั่งนิ่ง ๆ แต่ก่อนอีกใจจะท้วงว่า "ยิ่งนั่งนานยิ่งเสียเวลา" แต่ตอนนี้คิดว่านี่คือทางหลัก "ยิ่งนั่งนานยิ่งได้กำไร" ตั้งใจว่าวันนี้ช่วงบ่ายสามจะนั่งอีกครั้งให้คร่อมเวลา 15.52 น. ตั้งใจส่งถึงพระองค์เป็นการเฉพาะ ตอนนี้แอบคิดส่วนตัวว่า ตนได้ยึดคำสอนของท่านเป็น "พระธรรม" อีกชุดหนึ่ง คือมองท่านเป็นศาสดาสมัยใหม่ที่สอนเราใช้ชีวิตในโลกสมัยใหม่ที่เลวร้ายไม่ยุติธรรมและเลวเป็นดีดีเป็นเลว เลยยิ้มได้กับชีวิตไปเลยจากที่ไขว้เขว ดีใจจังที่ได้เกิดร่วมสมัยกับพระองค์ นึกถึงคนสมัยก่อนที่ได้เกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าและพระเยซูพอรับคำสอนมาคล้องใจก็คงรู้สึกอบอุ่นและมั่นคงได้แบบนี้ เนื่องจากเราได้เห็นว่าท่านเคยเป็นคนจริง ๆ เหมือนเรานี่นา

วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

วิชาสายพม่า

   ปีที่แล้วผู้เขียนไปนั่งสวดธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร อยู่เบื้องหน้าพระธาตุอินทร์แขวนท่ามกลางกลิ่นดอกราตรีที่หอมอบอวลไปทั่ว อีกวันไปสวดเบื้องหน้ามหาเจดีย์ขเวดากอง และไปรับพลังสวดมนต์จากหลวงพ่อวัดบารมี เรื่องและภาพของหลวงพ่อวัดบารมีนั้นถ้ามีโอกาสจะนำมาลงให้อ่านและดูกันเต็ม ๆ เพราะหลวงพ่อท่านเมตตาให้ดูถึงกุฏิท่านทีเดียว ถึงแม้ฝรั่งเขาไม่จัดพระธาตุอินทร์แขวนและมหาเจดีย์ชเวดากองไว้ในหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดแต่ผู้เขียนจัดเองเป็นแห่งที่แปดที่เก้า สถานที่ทั้งสองแห่งนี้ถ้าไม่เรียกว่าเทวดาเนรมิตร พระวิษณุทรงประดิษฐ์ก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว เคล็ดการไหว้ขอพรที่พระธาตุอินทร์แขวนนั้นหลังสวดธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร ให้ปิดก้อนหินที่ประดิษฐานพระธาตุด้วยทองคำเปลวแท้เอามือทั้งสองและหน้าผากทาบ บอกชื่อนามสกุล และที่อยู่แล้วขอพรหนึ่งข้อ ส่วนที่มหาเจดีย์ขเวดากองสวดธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร ให้บูชาดอกไม้แล้วถามทางไปทำบุญไฟฟ้าบูชาเจดีย์ชีวิตท่านจะได้รุ่งเรือง
   ถ้าช่างสังเกตุระหว่างที่ท่านไหว้พระไปเรื่อย ๆ ท่านมักจะเห็นรูปปั้นบรมครูโป๊ะโป๊ะอ่อง และโป๊ะมินค่องตั้งให้คนกราบไหว้อยู่ทั่วไป สมัยก่อนนั้นผู้เขียนไม่ใคร่ได้สนใจศาสตร์วิชาสายพม่าก็ดู ๆ ไป แต่มาเอะใจตรงที่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้เขียนได้ไปกราบพระเกจิผู้มากบุญญาภินิหารมาท่านหนึ่งที่เชียงใหม่ ในกุฏิของท่านเรียงรายไปด้วยรูปปั้นท่านโป๊ะโป๊ะอ่อง ส่วนอาจารย์ฆราวาสที่ผู้เขียนนับถือทั้งสี่ท่านซึ่งแล้วแต่เก่งกล้าสามารถเป็นอย่างยิ่ง มาสืบรู้ทีหลังว่าท่านก็สืบสายวิชามาจากพม่าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผู้เขียนถึงกับอึ้งในความเก่งกล้าของสายวิชาพม่านี้ เนื่องจากผู้เขียนศึกษาเรื่องนี้มาน้อยไม่อาจสรุปลงได้ว่าควรยุ่งเกี่ยวลงลึกเพียงใด ผู้เขียนจึงขอยืมคำของอาจารย์ท่านหนึ่งของผู้เขียนมาบอกเพียงแต่ว่า"วิชาของพม่านั้นลี้ลับ"
    ปล.วิชาพม่านี้มีการแก้ฮวงจุ้ยอัปมงคลแบบง่าย ๆ คือใช้พลูด่าง เช่นโทรทัศน์ตั้งอยู่ปลายเท้า วิชาทั่วไปนั้นต้องหาผ้าคลุมตอนปิดทีวี วิชาพม่านี้เขาแนะนำให้ตั้งพลูด่าง 

วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่อง ไม่อยากทำบุญกับพระ - พระอาจารย์คม อภิวโร วัดป่าธรรมคีรี

เรื่อง ไม่อยากทำบุญกับพระ

โอวาทก่อนฉันจังหัน
พระอาจารย์คม อภิวโร วัดป่าธรรมคีรี
-------------------

มีโยมบอกอาตมาว่า

" ไม่รู้จะทำบุญวัดไหนดี เดี๋ยวนี้มีแต่วัดไม่ดีทั้งนั้น ไม่ว่าวัดบ้าน วัดป่า วัดจีน วัดญวน ผมเคยไปบวช ไปสัมผัสมาแล้วทุกที่ จะเป็นวัดหลวงปู่ดังๆ หรือวัดเล็กๆ ก็ตามเถอะ ผมบอกตรงๆ ผมพวกปัญญาจริต ผมไม่ศรัทธาหรอก พวกโล้นห่มเหลือง เดี๋ยวนี้ผมใส่บาตรพ่อแม่ครับ ไม่ทำบุญกับพระหรอก เปลืองข้าวสุกข้าวสารปล่าวๆ "

อาตมาได้ฟังแล้วจึงตอบเขาไปว่า

- สำหรับคนมีปัญญาชั้นตรี ก็จะเห็นว่า วัดดีก็มี วัดแย่ก็มี เราก็เลือกเอา

- สำหรับคนมีปัญญาชั้นโท ก็จะเห็นว่า "วัด" น่ะดีทุกวัด แต่ "ผู้มาบวช" ไม่ดีก็มี ที่ดีก็มี ต้องพิจารณาเฉพาะเป็นรายๆไป จะให้บวชมาแล้ว หมดกิเลส เป็นพระอริยะทุกรูปทันทีทันใด อันนั้นก็เพ้อเจ้อ

- สำหรับคนมีปัญญาชั้นเอก ก็จะเห็นว่า วัดก็ดี พระก็ดี สำคัญที่ตัวเราเองดีหรือยัง ความดีขั้นสูงกว่าที่เราทำได้ในตอนนี้ยังมีอีกหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องขวนขวายในคุณธรรมนั้น จะพระ จะวัด จะใครก็ตาม ก็จะกลายเป็นครูของเราหมด สอนให้เราเรียนรู้ และเพิ่มพูนสติปัญญาเราตลอดเวลา พิจารณาได้ธรรมะตลอดสายเรื่อยไป

- สำหรับพวกคนโง่ที่สุด...ก็จะเห็นแบบโยมนี่แหละ " ไม่ดีทั้งหมด!" เพราะใจโยมแบกความเศร้าหมองมืดดำไว้จนหนักอึ้ง ประเภทเราดีคนเดียว คนอื่นเลวหมด เห็นแต่โทษเขา โทษเราไม่เห็น น่าสงสารเหลือเกิน เขาเลว เขาก็ไปแล้ว แต่ใจเรายังแบกความเลวเขาอยู่ แถมมาทุกข์กับความเลวเขาด้วย

วัดอื่นวัดไหนไม่สำคัญเท่า "วัดใจ" นะโยม แล้ววัดใจของโยมล่ะ เป็นอย่างไร วัดสะอาดดีไหม พระล่ะ เป็นพระที่ประพฤติดีไหม

หยั่งสติค้นเข้ามาข้างใน "วัดใจ" พระในใจของโยมน่ะ ท่านปฏิบัติอย่างไร เที่ยวเพ่นพ่านอันธพาล ไปเกะกะระรานใครเขาบ้าง ไปตั้งแง่หาเรื่องใครเขาบ้าง ได้ทำตนเป็นพญาช้างชูงวงด้วยความหยิ่งจองหอง
ไปทั่วหรือปล่าว

วัดอื่น...วัดนอก
วัดใจ...วัดใน

ถ้าวัดในเสื่อม ต่อให้ไปวัดนอกที่ประเสริฐแค่ไหน มันก็เป็นทัพพีห่อนรู้รสแกง

มอง...ก็มองอย่างตากิเลส
ฟัง...ก็ฟังอย่างหูกิเลส
เพราะใจมันถูกครอบงำแล้วด้วยอคติ
พอขาดสติ มันก็ปรุงแต่ง จับผิด ตั้งแง่หาเรื่อง วุ่นวายไป

"วัดนอก" น่ะเป็นสิ่งที่น้อมนำมาสู่ "วัดใน"

วัดนอกเป็นเครื่องมือทำความสะอาดวัดใน เป็นเรือนพักให้วัดใน เป็นความปิติสุข และเป็นสติ เป็นปัญญาให้แก่พระวัดใน

เมื่อ "วัดใน" ผ่องใส มีพระปฏิบัติงามๆ
พำนักอยู่ประจำแล้ว อาจไม่ต้องมาวัดนอกก็ได้

ถ้าหาพระดีๆไม่พบ ไม่รู้จะไปทำบุญวัดไหน ก็จงมีสติเดี๋ยวนี้ ทำความรู้อยู่ในปัจจุบัน ทำกำลังใจประหนึ่งว่ากำลังเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าตลอดเวลาดีที่สุด พระพุทธองค์ท่านประทับอยู่ที่ "วัดใจ" ของโยมนั่นแหละ มีพระอยู่ประจำวัดด้วยนะ ไม่เชื่อถามท่านเจ้าอาวาสวัดใจดูก็ได้ เวลาเราคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี เจ้าอาวาสวัดใจท่านก็จะเตือน เวลาเราทำดีเจ้าอาวาสวัดใจท่านก็ชม เคยสังเกตุไหม

ธรรมชาติสามัญสำนึกไงล่ะ...เจ้าอาวาสวัดใจ !

ธรรมชาติของใจนี้อัศจรรย์มาก ถ้าฝึกสติดีๆ จะไม่อยากทำบาปใดๆเลย มันจะปรากฏโทษความเศร้าหมองขึ้นมาทันที แม้เรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตาม

ที่เราดีใจเวลาทำบาปสำเร็จ เช่น โกงเงินเขามาได้ ขโมยของเขามาได้ ตกปลาได้ หรือสะใจเวลาศัตรูตกทุกข์ อันนั้นมันอารมณ์กิเลสชั่ววูบ พอมันได้สติ มันจะละอายชั่ว เร่าร้อนเป็นไฟเผา หวาดระเเวงกลัวภัย หรือนึกสงสารเมตตาผู้อื่นขึ้นมา ธรรมชาติของใจที่แสดงออกเหล่านี้ โยมเคยพินิจพิเคราะห์ไหม

ประเด็นเรื่องไม่ใส่บาตรพระสงฆ์ ทำบุญกับพ่อแม่ดีกว่า ไม่ขอทำบุญกับวัดวาพระสงฆ์รูปใด อาตมาก็ขออนุโมทนาด้วยครึ่งหนึ่ง

เพราะอะไรจึงครึ่งเดียว ?

เพราะว่าคุณธรรมของบิดามารดานั้นมาก บิดามารดาท่านให้ชีวิตร่างกายขันธ์ ๕ เรามา สอนเรา เลี้ยงดูให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ มีความเจริญรุ่งเรืองในทางโลก แต่ช่วยให้เราดับทุกข์ถึงพระนิพพานไม่ได้

สมบัติทางโลกให้ได้แค่ความสบายภายนอกจนตายเน่าเข้าโลงเท่านั้น แต่ไม่สามารถเอาชนะความแก่ชรา ความเจ็บป่วย ความตาย ความพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งปวงได้ จะรวย จะเก่ง จะมีชื่อเสียงเกียรติยศอย่างไรก็หนีความทุกข์ไม่พ้น

คนรวยๆอาจจะมีทุกข์มากกว่าคนจนๆด้วยซ้ำ

ถ้าประสงค์ความสุขอันจริงแท้ต้องศึกษาวิชชาพระพุทธเจ้า ซึ่งการศึกษาวิชชาพ้นทุกข์นี้ต้องพึ่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ครบองค์พระรัตนตรัย

จะเลือกคบเฉพาะพระพุทธเจ้า และพระธรรมเท่านั้น ตัดขาดพระสงฆ์ ไม่คบพระสงฆ์...ไม่ได้ !

เพราะพระสงฆ์ที่ดี ท่านเป็นธรรมทายาทของพระพุทธเจ้า เป็นครูบาอาจารย์ เป็นพี่เลี้ยง และเป็นกัลยาณมิตรให้เราเข้าถึงธรรม

หลักของพระพุทธศาสนาคือความไม่ยึดมั่นถือมั่น ละอัตตาตัวตน สู่อนัตตา และทะลุสุญญตา มีพระนิพพานเป็นที่สุด

คำว่าปล่อยวาง ไม่ใช่ว่าปล่อยทิ้ง จนไม่ทำอะไร นอนขี้เกียจ ท่านสอนให้ขยัน อดทน ทำความเพียร เจริญสติมากๆ คนเรียนธรรมะจริงสังเกตุง่าย ยิ่งขยัน ยิ่งเข้มแข็ง ยิ่งอดทน ยิ่งอ่อนน้อม

เห็นใจโยมนะ อาจมีประสบการณ์ไม่ดีกับพระมาหลายเรื่องราว ขอให้มีสติในปัจจุบันว่า

เรื่องเศร้าหมองทั้งหมดนั้น...มันดับไปแล้ว !

ไม่มีประโยชน์จะไปยึดถือแบกความสกปรกเหล่านั้น

เวลาภาวนาให้ตั้งสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่ต้องมีอดีต ไม่ต้องมีอนาคต อย่าเป็นคนมีอนาคต เราต้องพร้อมตายเสมอ บางทีอนาคตที่เราวาดฝันไว้ เราอาจตายก่อนมันจะมาถึงก็ได้

ตัดทุกอย่าง กำหนดสติอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียว ยิ่งมีคำบริกรรม พุทโธๆๆๆๆ กำกับไว้เป็นหลักของสติด้วยยิ่งดี สติจะได้ต่อเนื่อง ไม่หลงอารมณ์ ไม่ส่งออกนอก จิตจะมีความตั้งมั่นได้ง่าย แรกๆก็ล้มลุกคลุกคลาน ถลอกปอกเปิก ต่อไปก็จะมีความชำนาญในการเข้าออกความสงบเอง

ยิ่งโยมบอกว่าเป็นพวกปัญญาจริต ถ้าจิตตั้งมั่นแล้ว มีสมาธิทรงตัว ต้องพิจารณาความตายมากๆ เวลาหมดไป อายุขัยหมดไปตลอดเวลา ระวังนะ ตายลงตรงนี้ไม่รู้สุคติคืออะไร กรรมฐาน ๔๐ กอง ประมวลมาเรื่องเกิดแก่เจ็บตาย เกิด-ดับ เกิด-ดับ ซ้ำกันอยู่ตรงนี้ อนิจจังทั้งนั้น

โลกหวังนิจจัง ธรรมว่าอนิจจัง
โลกหวังสุข ธรรมว่าทุกข์
โลกหวังให้เป็นดังใจเรา ธรรมว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีอะไรเป็นของเราแท้

สายทางเดินมา "หยุด" ตรงใจกลางพระธรรมจักรพอดี อริยสัจจ์ ๔ จะเเสดงตัวทำลายอวิชชา ยุติวัฏจักร เมื่อนั้นจะเปิดเผยธรรมชาติที่อยู่เหนือความเกิดตาย อยู่เหนือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

พิจารณามากๆ โยมจะพบความสุขที่จริงแท้ ความดีงามที่ไม่เกี่ยวข้องผูกมัดกับอะไร ไม่มีภาระ ไม่มีกังวล ไร้สิ่งใดต้องแบกหาม เป็นอิสระจากโซ่ล่ามคอ ตรวนล่ามขา กะลาครอบจิต

แล้วโยมจะพบพระพุทธเจ้าแท้ พระธรรมแท้ พระสงฆ์แท้ๆ จะสำนึกถึงพระคุณอันสุดประมาณของท่าน ณ วัดใจของโยม!

ใจเย็นๆ ตัดประเด็นคนชั่วๆ ออกไปก่อนนะ

บางกรณี พระที่เรานึกตำหนิ เราไม่ชอบใจ พระท่านอาจจะทดสอบจิตเราอยู่ก็ได้ พระดีๆแกล้งบ้าเพราะเบื่อโยมบ๊องๆมึนๆก็มีเยอะ

เรื่องคนไม่ดี คนเลวน่ะมันมีเป็นธรรมดา แล้วเราจะเสียเวลาไปแบกความแย่ของเขาให้จิตใจเราเศร้าหมองทำไม ตลบกลับเป็นด้านปัญญาดีกว่า ไม่ขาดทุน

ถ้าแย่จริงๆก็ต้องช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนา แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่เพียงฟังตามกันมาแล้วสรุปเอาเองอย่างอคติ ว่าคนนั้นเลว คนนี้ชั่ว ต้องพิจารณาเหตุผลอย่างถี่ถ้วน คนเรามักถูกอารมณ์ชักนำไปก่อนสติ

การปกป้องพระพุทธศาสนามีหลายวิธี และวิธีที่ดีที่สุดก็คือ
"การละชั่วของตัวเราเอง"

โยมสมัยนี้มุ่งแต่ "ทำบุญ" จนลืม "ละบาป" ทั้งที่ความจริงเพียงเราละบาปได้ มันก็เป็นความดีขึ้นมาแล้ว

ไม่ต้องเชื่ออาตมานะ อย่ายึดอาตมา เดี๋ยววันหนึ่งเกิดมีอะไรที่อาตมาทำไม่ถูกใจโยมเข้า โยมจะปรุงแต่งตกเป็นทาสอารมณ์เศร้าหมองอีกเหมือนเดิม

ให้ปฏิบัติให้เกิดผลประจักษ์ใจตนเอง โยมจะได้เป็นพยานให้พระรัตนตรัย เป็นพยานธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วจะรักพระสงฆ์ด้วยความจริงใจ จะเห็นความเสียสละ อดทนของพระดีๆท่าน จะรู้สึกสงสารท่าน ชื่นชมท่าน อนุโมทนากับท่าน เเละเป็นกำลังใจให้ท่านชำระกิเลสต่อไป

ฝึกวางอารมณ์ให้เป็น
ฝึกสติปัญญาให้รู้เท่าทัน

ถูกก็เป็นธรรม
ผิดก็เป็นธรรม
เหนือถูกเหนือผิดก็เป็นธรรม

อย่าไปเหมารวมว่าวัดไม่ดี พระไม่ดี
วัดดีๆก็มีเยอะ พระดีๆก็มีมาก
เลือกเนื้อนาบุญเอาตามวาสนานิสัย

สำคัญที่สุดก็ "วัดใน-วัดใจ" ของเรานี่เเหละ

กลับไปชำระ "วัดใจ" ของโยมให้สะอาดดีงามนะ
ฝากกราบเรียน "ท่านเจ้าอาวาสวัดใจ" ของโยมด้วยว่า
อาตมาเป็นกำลังใจให้ ขอถวายบุญกุศลที่อาตมากระทำไว้ดีแล้วให้ท่านได้ประโยชน์ด้วยเต็มที่ ขอให้ท่านตั้งใจบำเพ็ญต่อไปมากๆ

เดินไป เดินไป ไม่หยุด เดี๋ยวก็ถึงจุดหมาย

วันหนึ่งท่านจะเป็น "พุทธะ" ที่เบิกบาน

แล้วอย่าลืมมาช่วยดึงอาตมาไปพระนิพพานด้วยนะ
...อาตมาเองนี่ก็กิเลสเต็มขั้นเหมือนกัน...

พุทโธ พุทโธ พุทโธ

ที่มา
https://www.facebook.com/WatPaThammakeeree/photos/a.283853815057230.59663.272270879548857/1105416266234310/?type=3

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

สมบัติน้ำเเข็ง

เพื่อนที่รักหลายท่านส่งเรื่องสมบัติน้ำเเข็งซึ่งเป็นคำสอนของหลวงปู่ดู่ มาให้ผู้เขียนทางไลน์ ผู้เขียนในฐานะลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่ง จึงขออนุญาตท่านผู้บันทึกคำสอนนี้นำมาเผยแพร่เป็นธรรมทานในบล็อกนี้

หมายเหตุ คำสอนของหลวงปู่นั้นผู้เขียนอ่าน จดจำและชอบเป็นพิเศษ ท่านพูดแบบย่อ ง่าย และเถียงไม่ได้เพราะเป็นธรรมแท้ ๆ แบบอกาลิโก

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


สมบัติน้ำเเข็ง.........


โอวาทของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ที่บอกว่า "ที่แกทำ ๆ ไปน่ะ มันสูญเปล่า ชีวิตจะมีค่าก็ตอนไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนาเท่านั้น" บางคนคงแย้งท่านในใจว่า มันสูญเปล่าที่ไหนกัน เราทำงาน ทำกิจกรรมต่าง ๆ เราก็ได้ผลงาน ได้เงินได้ทองมาเลี้ยงชีวิตตัวเรา แถมยังเอาไปสงเคราะห์ญาติได้อีก


มาถึงตอนนี้ เมื่อเราอายุมากขึ้นประสบการณ์ชีวิต ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ๆ ว่า ที่ทำ ๆ ไป ไม่ว่าจะดูซับซ้อน วิจิตรเพียงใด มันก็แค่ "หาอยู่ หากิน"

เลี้ยงอัตภาพร่างกายเท่านั้น อย่างมากก็เพิ่มความภาคภูมิใจในผลงาน พอหมดลมแล้วก็หมดกัน เอาติดตัวไปไม่ได้ ไม่เหมือนอย่างกิจกรรมการภาวนาเพื่อพัฒนายกระดับจิตใจ มันกินลึกและเอาติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปได้


สมบัติทางโลก ๆ จะมากมายและวิจิตรประณีตขนาดไหน มันก็เป็นแค่ "สมบัติน้ำแข็ง" อยู่ดี เพราะมันจะค่อย ๆ ละลาย เรากำมันไว้ได้แค่ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น


หลวงปู่เคยเล่าว่า "เด็กทารกทั่วไปเกิดมาก็กำมือมา บ่งบอกการเกิดมาพร้อมกับความยึดมั่นถือมั่น"


พวกเราลองพิจารณาดูเถิด สุดท้ายตอนตายทุกคนก็ต้องแบมือหมด แม้น้ำที่คนเขามารดน้ำศพ ก็ยังกำเอาไว้ไม่อยู่เลย


อาหารที่สุดแสนประณีตก็ได้แค่อิ่ม บ้านที่เป็นดุจคฤหาสน์ก็แค่ที่พักอาศัยหลับนอน ไปคืนหนึ่ง ๆ มนุษย์สร้างสมมติที่ซับซ้อนหลอกตัวเอง เสียจนหลงลืมความจริงพื้นฐานของชีวิต...


"สมบัติน้ำแข็ง" คือ ข้อที่ควรคิดคำนึงเพื่อเตือนจิตเตือนใจตนเองไว้เสมอ ๆ เพื่อให้ตระหนักว่ากิจกรรมชีวิตอันใดที่เราควรทุ่มเท กิจกรรมชีวิตอันใดที่ทำเพียงแค่พอเป็นเครื่องอาศัย


...หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ...

วัดสะแก จ.อยุธยา

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ภาพสมเด็จพระสังฆราช

    ได้รับภายสมเด็จพระสังฆราชมาทางไลน์และท่านเจ้าของคือ มล.ชัยนิมิตร มีใบกำกับการอนุญาตเผยแพร่มาเรียบร้อย ท่านบอกว่าท่านถ่ายตั้งแต่อายุ 16 แต่ดูภาพงดงาม และมีศิลปะแห่งการถ่ายทอดเป็นอย่างยิ่ง ภาพทั้งหมดเล่าเรื่องอยู่ในตัวเอง ผู้เขียนขอนำมาโพสต์ไว้ในบล็อกนี้ ให้ชื่นตาชื่นใจชาวพุทธสืบไป

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------













วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

กราบ

พี่ที่รักของผู้เขียน พี่หน่อง เธียรชัย ไปได้ภาพจากข้างพระบรมมหาราชวังมา ภาพเล่าเรื่องในตัวเองจนผู้เขียนตื้นอยู่ในอก พี่หน่องสะท้อนเรื่องจากภาพ มาเป็นกลอนด้านล่าง ผู้เขียนกราบนำในหลวง ร.9 ไว้เหนือหัวและขอนำรูปภาพพร้อมบทกลอนมาลงไว้ ณ ที่นี้



ก่อนฟ้าสางวางทุกอย่างข้างชีวิต สองมือชิดแนบประนมพร้อมก้มหน้า
ตั้งสติระลึกคุณพระบิดา กราบตรงหน้าบนผืนดินสิ้นยางอาย

กราบให้ถึงซึ่งแผ่นดินถิ่นแดนนี้ กราบความดีที่ไม่มีวันสลาย
กราบร่องรอยแห่งพระบาทที่ยาตรกราย กราบรอยทรายที่พระองค์ทรงดำเนิน

เหลือแต่แค่เพียงรอยทรายที่หายสิ้น ก้มมองดินทั่วป่าพงดงเขาเขิน
มองค้นหาฝุ่นธุลีทุกที่เดิน ไม่มีแล้วทุกแนวเนินเกินก้มลง

ซบใบหน้าลงผืนหญ้าน้ำตาหลั่ง หยดลงยังปฐพีที่ดินผง
บอกผืนดินว่าตั้งแต่สิ้นพระองค์ ไม่น้อยลงเลยสักวันฉันอาดูร

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หมอบใจราบกราบแผ่นดินผืนถิ่นนี้ กราบให้ถึงพระภูมีผู้ยิ่งใหญ่
กราบพลังของแผ่นดินผู้จากไป ด้วยหัวใจศรัทธามั่นนิรันดร

ก้มหัวลงตรงถนนรถเคยวิ่ง หัวใจดิ่งวิ่งไปเบื้องบรรจถรณ์
น้ำตารินลงคอนกรีตกรีดใจรอน หัวใจอ่อนแนบแผ่นดินเหมือนสิ้นปราณ

กราบแผ่นดินกราบผืนถิ่นที่อาศัย กราบพระองค์ผู้ทรงชัยอันไพศาล
กราบธุลีที่ถนนก่อนทำงาน จูบละออง ธ เคยผ่านตำนานไทย

วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560

ยังทรงสถิตอยู่ในใจไทยทั้งชาติ

วันหนึ่งภรรยาส่งภาพวาดของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาในไลน์ ผู้เขียนก็บอกว่าดูงดงาม ภรรยาบอกว่าลูกชายเป็นคนวาดภาพนี้เอง ผู้เขียนอดระลึกถึงประโยคว่า ธ สถิตในใจไทยทั้งชาติ ไม่ได้  ลูกชายอายุได้ 18 ปี ปกติแล้วไม่ค่อยได้พูดถึงพระองค์ท่าน ชอบเล่นเกมส์เหมือนเด็กทั่วไป ตอนเย็นผู้เขียนกลับไปถามว่าทำไมถึงวาดภาพนี้ เขาบอกว่าระลึกถึงพระองค์ท่าน ผู้เขียนวาดภาพไม่เก่ง ดีใจที่ลูกชายพอวาดภาพได้ ขอลงภาพไว้ในบล็อกนี้ในวันขึ้นปีใหม่ เทิดพระเกียรติพระองค์ไว้ในฐานะข้าละอองธุลีพระบาท ที่เกิดในรัชสมัยของพระองค์