ตอนที่ดูหนังเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร วิชาที่ดูน่ากลัวแต่น่าเรียนคือมหาเวทย์ดูดดาวของประมุขพรรคสุริยันจันทรา เยิ่นหว่อสิง แต่ชีวิตจริงจะหาฝึกวิชานี้จากไหน ความจริงแผ่นดินกว้างใหญ่ จักรวาลมหาจักรวาล ยังกว้างกว่า กว้างแบบแบบไม่มีที่สิ้นสุด โชคดีที่เหล่าอาจารย์ชี้ทางเราจึงพอมีโอกาสใช้วิชาคล้าย ๆ กัน
วิชาที่หนึ่งเป็นการใช้ของศักสิทธิ์เช่นลูกแก้วต่าง ๆ มาช่วยในการดูดพลังที่ดี ๆ รวมไปถึงทรัพย์สมบัติมาให้ สิ่งศักสิทธิ์เหล่านี้จะมีคุณสมบัติสามอย่างคือดูดทรัพย์ รักษาโรค และป้องกันภัย โดยพลังงานหรือวิญญาณหรือเทพยดาที่สถิตย์อยู่ในสิ่งศักสิทธิ์นั้น ๆ จะเป็นผู้ดำเนินการตามขอบข่ายอำนาจที่ตนมี ดังนั้นเราจึงต้องทำบุญอย่างสม่ำเสมอเพื่ออุทิศให้เทพยดาผู้รักษาสิ่งศักสิทธิ์เพื่อที่ท่านจะได้มีอำนาจขยายขอบเขตพลังงานของท่านให้มากยิ่งขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ว่าขยายขอบเขตอำนาจของการดูดทรัพย์ รักษาโรค และป้องกันภัยนั่นเอง เจ้าของสิ่งศักสิทธิ์ที่รู้เคล็ดเรื่องการทำบุญ ส่งบุญให้เทพยดานี้ก็จะได้เปรียบกว่าคนที่ไม่รู้เช่น ชาวจีน ชาวญี่ปุ่น ที่ครอบครองหิน หยก ฯลฯ ที่รู้แต่ว่าของแบบมีแล้วดี แต่การที่จะมีวาสนาได้ครอบครองสิ่งศักสิทธิ์ ของวิเศษดังกล่าวข้างต้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายคือต้องมีวาสนาผูกพันกันมา ส่วนมากร้อยละ 99.99 ที่สรรหามาติดตัวหรือมาบูชานั้นมักเก๊ พลังไม่พอ หรือบางทีไปเจอเทพเกเร วิญญาณชั่วร้าย วิชาฝ่ายต่ำ ก็จะยิ่งทำให้เราแย่ลงไปอีก โบราณจารย์จึงสั่งไม่ให้สรรหาโดยพูดตัดบทว่าเหล็กไหลไพลดำพูดพร่ำเป็นบ้า แต่หากท่านยังอยากได้สิ่งศักสิทธิ์เหล่านี้มาครอบครองก็จงหมั่นทำบุญ ภาวนา รักษาศีลและอธิษฐานขอ เมื่อบุญถึงแล้วฟ้าจะเปิดให้พบครูบาอาจารย์ที่สามารถมอบของที่เหมาะแก่เรา คอยค้ำชูเราได้ในที่สุด
วิชาที่สองเป็นการรับพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมโยงกับสิ่งศักสิทธิ์โดยตรง วิชานี้ต้องได้พบกับครูบาอาจารย์ที่เกี่ยวข้องกันมาประจุพลังงานหรือลูกแก้วทิพย์ให้ จากนั้นก็จะสามารถรับพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เมื่อยามไปกราบพระ เช่นหลวงพ่อพระพุทธโสธร พระแก้วมรกต หรือสวดมนต์อยู่กับบ้านพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะไหลเข้ามาได้เช่นกัน โดยเราจะรับทราบว่ามีพลังไหลเข้าสู่ตัวเราได้เลยไม่ใช่จินตนาการเอา คือจะมีความรู้สึกเหมือนไฟฟ้าอ่อน ๆ เคลื่อนเข้าสู่ตัวเรา พระสงฆ์รูปหนึ่งที่ทุกครั้งผู้เขียนไปกราบจะรู้สึกถึงพลังได้ที่ท่านแผ่ออกมาได้อย่างชัดเจนคือหลวงพ่อเจิม พุทธวังโส มหาอริยะเมตตาแห่งวัดหนองน้ำขุ่นผู้ล่วงลับ
วิชาที่สองนี้ ผู้เขียนอยู่มาจนถึงวัยกลางคนรู้จักคนที่ทำได้อยู่เพียงผู้เดียว ปัจจุบันท่านอาจารย์ก็ยังมีชีวิตอยู่เพียงแต่ผู้เขียนไม่กล้าเปิดเผยตัวตนท่าน เพราะท่านไม่ได้อนุญาตไว้ คุณผู้อ่านจะมีโอกาสเจอท่านได้ก็ต่อเมื่อฟ้าเปิดและวาสนานำพาไปพบกันเท่านั้นเอง
สวัสดี
วิชาที่หนึ่งเป็นการใช้ของศักสิทธิ์เช่นลูกแก้วต่าง ๆ มาช่วยในการดูดพลังที่ดี ๆ รวมไปถึงทรัพย์สมบัติมาให้ สิ่งศักสิทธิ์เหล่านี้จะมีคุณสมบัติสามอย่างคือดูดทรัพย์ รักษาโรค และป้องกันภัย โดยพลังงานหรือวิญญาณหรือเทพยดาที่สถิตย์อยู่ในสิ่งศักสิทธิ์นั้น ๆ จะเป็นผู้ดำเนินการตามขอบข่ายอำนาจที่ตนมี ดังนั้นเราจึงต้องทำบุญอย่างสม่ำเสมอเพื่ออุทิศให้เทพยดาผู้รักษาสิ่งศักสิทธิ์เพื่อที่ท่านจะได้มีอำนาจขยายขอบเขตพลังงานของท่านให้มากยิ่งขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ว่าขยายขอบเขตอำนาจของการดูดทรัพย์ รักษาโรค และป้องกันภัยนั่นเอง เจ้าของสิ่งศักสิทธิ์ที่รู้เคล็ดเรื่องการทำบุญ ส่งบุญให้เทพยดานี้ก็จะได้เปรียบกว่าคนที่ไม่รู้เช่น ชาวจีน ชาวญี่ปุ่น ที่ครอบครองหิน หยก ฯลฯ ที่รู้แต่ว่าของแบบมีแล้วดี แต่การที่จะมีวาสนาได้ครอบครองสิ่งศักสิทธิ์ ของวิเศษดังกล่าวข้างต้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายคือต้องมีวาสนาผูกพันกันมา ส่วนมากร้อยละ 99.99 ที่สรรหามาติดตัวหรือมาบูชานั้นมักเก๊ พลังไม่พอ หรือบางทีไปเจอเทพเกเร วิญญาณชั่วร้าย วิชาฝ่ายต่ำ ก็จะยิ่งทำให้เราแย่ลงไปอีก โบราณจารย์จึงสั่งไม่ให้สรรหาโดยพูดตัดบทว่าเหล็กไหลไพลดำพูดพร่ำเป็นบ้า แต่หากท่านยังอยากได้สิ่งศักสิทธิ์เหล่านี้มาครอบครองก็จงหมั่นทำบุญ ภาวนา รักษาศีลและอธิษฐานขอ เมื่อบุญถึงแล้วฟ้าจะเปิดให้พบครูบาอาจารย์ที่สามารถมอบของที่เหมาะแก่เรา คอยค้ำชูเราได้ในที่สุด
วิชาที่สองเป็นการรับพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมโยงกับสิ่งศักสิทธิ์โดยตรง วิชานี้ต้องได้พบกับครูบาอาจารย์ที่เกี่ยวข้องกันมาประจุพลังงานหรือลูกแก้วทิพย์ให้ จากนั้นก็จะสามารถรับพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เมื่อยามไปกราบพระ เช่นหลวงพ่อพระพุทธโสธร พระแก้วมรกต หรือสวดมนต์อยู่กับบ้านพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะไหลเข้ามาได้เช่นกัน โดยเราจะรับทราบว่ามีพลังไหลเข้าสู่ตัวเราได้เลยไม่ใช่จินตนาการเอา คือจะมีความรู้สึกเหมือนไฟฟ้าอ่อน ๆ เคลื่อนเข้าสู่ตัวเรา พระสงฆ์รูปหนึ่งที่ทุกครั้งผู้เขียนไปกราบจะรู้สึกถึงพลังได้ที่ท่านแผ่ออกมาได้อย่างชัดเจนคือหลวงพ่อเจิม พุทธวังโส มหาอริยะเมตตาแห่งวัดหนองน้ำขุ่นผู้ล่วงลับ
วิชาที่สองนี้ ผู้เขียนอยู่มาจนถึงวัยกลางคนรู้จักคนที่ทำได้อยู่เพียงผู้เดียว ปัจจุบันท่านอาจารย์ก็ยังมีชีวิตอยู่เพียงแต่ผู้เขียนไม่กล้าเปิดเผยตัวตนท่าน เพราะท่านไม่ได้อนุญาตไว้ คุณผู้อ่านจะมีโอกาสเจอท่านได้ก็ต่อเมื่อฟ้าเปิดและวาสนานำพาไปพบกันเท่านั้นเอง
สวัสดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น