วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559

มงคลบนเหรียญกษาปณ์

หลังจากในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสู่สวรรคาลัย ผู้เขียนเองก็ทอดอาลัยโศกเศร้าเหมือนกับพวกเราทั้งชาติ  มีบทความเกี่ยวกับพระองค์ท่านส่งมามากมายแต่ความโศกเศร้าอาลัยนั้นเหมือนยากจะจางหายไปได้เลย ผู้เขียนครุ่นคิดมาตลอดห้าสิบกว่าวันนี้ว่าจะเริ่มต้นเขียนบล็อกอีกครั้งอย่างไร เรื่องไหน จวบจนคืนนี้ คืนวันที่ 5 ธันวามหาราชตลอดกาลของผู้เขียนกำลังจะล่วงผ่าน ผู้เขียนก็รวบรวมแรงกายและใจเขียนบล็อก ๆ นี้ขึ้นมา ความผิดพลาดประการหนึ่งประการใดหากจะมีให้ผู้อ่านบล็อกทุก ๆ ท่านโปรดจงให้อภัยผู้เขียนด้วยเทอญ
 
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 


ชาวสิงคโปร์ทุกคนที่รู้จักกับผู้เขียนมักบอกกับผู้เขียนด้วยความทึ่งกึ่งภูมิใจว่าประเทศของเขานั้นเจริญรุ่งเรืองมาส่วนหนึ่งด้วยศาสตร์ฮวงจุ้ย เหรียญดอลลาร์สิงคโปร์นั้นเป็นเหมือนยันต์แปดเหลี่ยมที่แจกจ่ายไปทั่วสิงคโปร์ สิบหกปีก่อนผู้เขียนมีหน้าที่ต้องไปทำงานที่สิงคโปร์ โดยเดินทางไป ๆ มา ๆ ระหว่างไทย-สิงคโปร์ บางทีอยู่ถึงสองเดือนตอนนั้นลูกก็ยังเล็กมากไปทีก็กากาบาทวันบนปฎิทินไปทีละวัน ๆอยากกลับไทยคิดถึงลูก หมดภารกิจคราวนั้นผู้เขียนเก็บเหรียญสิงคโปร์ไว้หลายแบบ มีเหรียญสิงคโปร์อยู่หนึ่งเหรียญเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ เอาไว้ระลึกถึงเพื่อน ๆ ชาวสิงคโปร์ วันนี้ผู้เขียนจึงถ่ายรูปด้านหน้าและหลังมาพิจารณาเรื่องฮวงจุ้ยแบบชัด ๆ

ด้านหน้าเป็นรูปดอกไม้ล้อมรอบด้วยแปดเหลี่ยม ดอกไม็และยันต์แปดเหลี่ยมก็เป็นแนวฮวงจุ้ยแน่นอน เพียงแต่ผู้เขียนมีความรู้เท่าหางอึ่งไม่อาจเอื้อมตีความ


ด้านหลังเป็นตราประเทศล้อมรอบด้วยแปดเหลี่ยม ดูแล้วเหมือนยันต์แปดเหลี่ยมตามที่เพื่อนบอก


สมัยที่ผู้เขียนเดินทางไปบ่อย ๆ นั้น พรมทางเข้าสนามบินเขายังทำเป็นลายน้ำไหล ดอกกล้วยไม้นั้นบานสพรั่งทั่วสนามบิน น่าทัศนามาก เขารุ่งเรืองเราก็ดีใจด้วย 


สำหรับประเทศไทยของเรา เราก็มีสุดยอดมหามงคลอยู่บนเหรียญของไทยมานานมากแล้ว เหรียญที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลต่าง ๆ เป็นพลังทั้งฟ้าและดิน  เป็นแบบอย่าง แนวทางการดำเนินชีวิตของพวกเราที่ยังอยู่บนผืนแผ่นดินไทย เมื่อมองเมื่อดูเมื่อจับต้องจะเกิดพลังสติ พลังปัญญา และจะทรงเป็นศูนย์รวมใจไทยทั้งชาติตลอดไป ผู้เขียนไม่ได้ถ่ายภาพเหรียญกษาปณ์ใด ๆ ของไทยมา เพียงอยากจะให้ทุกท่านลองหยิบเหรียญที่ท่านมีมาจับจ้องพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงบนเหรียญกษาปณ์ แล้วลองดูว่าจะเกิดสติระลึกรู้ มีพลังขึ้นมาเหมือนผู้เขียนหรือไม่ คืนนี้ขอให้เทพเทวา บารมีของพระมหากษัตริย์ไทยทุก ๆ พระองค์ รักษาทุก ๆ ท่านครับ



วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ตัดไฝกับตามณี

ไฝตามร่างกายนั้นโบราณท่านมีตำราดูเป็นเรื่องราว ไฝอัปมงคลก็ได้ยินมานานแล้วว่าต้องใช้พิธีกรรมในการตัดออกเพื่อให้สิ่งอัปมงคลถูกกำจัดหรือถูกเชิญออกไปให้เหลือพลังในการต่อสู้กับสภาพเศรษฐกิจ สภาพสังคม คนเรานั้นไม่มีอะไรมาฉุดรั้งก็หากินกันเหนื่อยอยู่แล้ว ถ้ามีสิ่งที่มองไม่เห็นมาฉุดมารั้งก็เหนื่อยเพิ่มไปอีกตามส่วน เท่าที่ทราบนั้นพระและอาจารย์หลาย ๆ ท่านก็ทำได้ ผู้เขียนได้ยินมาจากตรงนั้นทีตรงนี้ที แต่ไม่เจอท่านไหนจริง ๆ เสียที แต่ที่ไหนได้คนที่ทำได้แบบจริง ๆ ตัวเป็น ๆ นั้นอยู่ห่างจากบ้านผู้เขียนไปไม่เกิน 100 เมตร คือท่านอาจารย์วิชญ์ วันที่เจอกันครั้งแรกกับอาจารย์วิชญ์นั้นคุยกันตั้งแต่สิบโมงเช้าจนสี่โมงเย็นข้าวน้ำไม่ต้องกินกัน หลายๆ เรื่องพูดไปไม่น่าเชื่อเช่นผู้เขียนอธิษฐานขออะไรไว้กับพระอาจารย์ก็รู้ ฝันว่าอะไรอาจารย์ก็รู้ สรุปกันไปหลายเรื่องหลายอย่าง สิ่งหนึ่งที่อาจารย์บอกผู้เขียนไว้คือไฝที่ติดตามตัวให้เอาออกเสีย มีไว้ก็เป็นภาระกับการทำงานโดยอาจารย์จะทำให้ นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนเจอคนตัดไฝแบบพิธีกรรมได้แบบตัวจริงเสียงจริง พิธีแบบอาจารย์วิชญ์นั้นก็จะยุ่งยากพอสมควรคือต้องเตรียมใบไม้เก้าชนิด ลงอักขระกำกับ เอามาแต้มไฝ เชิญออกไปทิ้งน้ำและต้องถือเคล็ดตามที่อาจารย์บอกอีกสองเดือน เช่นห้ามบ้วนน้ำลายลงชักโครก ห้ามสวมกระโปรงทางศรีษะ ใครทำได้ก็ดีไปใครทำไม่ได้ก็ต้องทำใหม่ บางคนทำไปห้ารอบไฝยังไม่หลุด หมดกำลังใจที่จะทำ วันหนึ่งผู้เขียนมีโอกาสไปไหว้พระวัดพนมชัย อ.พนมสารคาม ฉะเชิงเทรา  คือวัดพนมชัยนั้นใครไปไหว้พระดูดวงส่วนมากหลวงพ่อก็แนะนำให้ไปตัดไฝกับตามณีที่บ้านอยู่ใกล้ ๆ กันกับวัด ผู้เขียนถึงจะเคยตัดไฝกับอาจารย์วิชญ์แต่ก็อยากลองดู เลยไปกับน้องพลขับอีกหนึ่งคน ไปตอนนั้นไม่เคยคิดว่าจะเขียนบล็อกเลยไม่ได้ถ่ายรูปบ้านตามณีและพิธีกรรมเก็บไว้

ตามณีนั้นเป็นอาจารย์แบบโบราณขนานแท้คือมีศีล มีสัตย์ ไม่หากิน เท่าที่จำได้เครื่องทำพิธีที่เราต้อง เตรียมไปเอง ก็มีดอกไม้หนึ่งกำ เทียน 5 เล่ม ธูปหนึ่งห่อ เงิน 5 สลึงหรือ 5 บาท ใครประทับใจจะเที่ยวเอาเงินให้แกมากกว่านั้นไว้ใช้ไม่ได้เพราะผิดแรงครู ห้ามหยอดเงินใส่ตู้ใส่พานอะไรเกินกว่านี้ อาจารย์แบบนี้นับวันจะหาไม่ได้แล้ว ถ้ามีความเชื่อทางนี้ มีโอกาสก็รีบไปเสีย ตาท่านอายุไม่น้อยแล้ว อาจารย์เก่ง ๆ และมีศีล มีสัตย์แบบนี้ที่ผู้เขียนเคยเจอก็ตาจันทร์บ้านแม่พร่อง อ.เมือง กับลุงพร้อม บ้านห้วยซึ้ง อ.พิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ เก่งเรื่องกระดูกแตกกระดูกหัก หายได้ชนิดอัศจรรย์พันลึก เสียดายสองท่านไม่อยู่เสียแล้ว มีโอกาสจะเขียนเล่าเรื่องสองท่านนี้ไว้เป็นที่ระลึก

เวลาไปหาตามณีแนะนำให้โทร.ไปถามแกก่อนว่าอยู่บ้านหรือไม่ ตอนถอดรองเท้าก็ให้หันส้นรองเท้าเข้าบ้าน หัวรองเท้าออกนอกบ้าน แบบเตรียมเผ่นเลย พอตาไหว้ครูเสร็จก็จะให้เรานั่งบนม้านั่งหันหน้าออกนอกบ้าน แล้วแกก็สวดไปพรมน้ำมนต์บนศรีษะไป ใช้เวลาไม่นาน หลายคนที่ผู้เขียนแนะนำให้ไปทำบอกตอนนี้ละขลังดี พอแกบอกว่าเสร็จก็ให้ลุกเดินไปสวมรองเท้าออกจากบ้านแกทันที ห้ามหันไปไหว้ ไปลาอะไรทั้งสิ้น แบบเดินไปไม่เหลียวหลังนั่นแหละ เป็นอันเสร็จพิธี ผู้เขียนแนบแผนที่มาให้ไว้ในบล็อกนี้  ถ้ามีวาสนาต่อกันก็ขอให้ได้ไปพบตามณี










วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อวิชาคือเหตุ "เวียนว่ายตายเกิด"

มีท่านผู้รักพระศาสนาส่งบทความทางไลน์มา อ่านดูแล้วท่านผู้เขียนเป็นผู้รู้ทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี จึงขอเผยแพร่เป็นธรรมทานมา ณ ที่นี้ ข้อความด้านล่างคัดมาจากไลน์ทั้งสิ้น 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ความลึกซื้งของคำสอนในพุทธศาสนาที่นับวัน แม้แต่นักควอนตัมฟิสิกซ์จะค้นพบข้อพิสูจน์ทางวิทย์ที่ยืนยันความเป็นจริงได้อย่างน่าทึ่ง....

🌚อวิชาคือเหตุ "เวียนว่ายตายเกิด"🌚

󾫶󾫶󾫶󾫶
ขออนุญาตแชร์บทความ จากผู้เผยแผ่ครับ.....
อ่านจบ จะแชร์หรือไม่แชร์ ก็ได้บุญไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าแชร์ต่อ ก็เป็นธรรมทาน อันยิ่งใหญ่ครับ สาธุ....อนุโมทนาบุญกับบทความดีๆ 󾔶󾔶󾔶 󾔃󾔃󾔃󾔶󾔶󾔶󾔶

10 ความจริงสูงสุดที่ทุกคนควรตระหนัก!!!
***********
1. แท้จริงแล้วสุขทุกข์ไม่ได้เกิดจากใครทำ ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก แต่เกิดจากการกระทบกันของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปัจจัยภายนอกเป็นเพียงตัวแปร ปัจจัยภายในได้แก่ สติ คือสาเหตุใหญ่ ถ้าสติไม่แข็งแรง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด เป็นใครมาจากไหน ก็มีความทุกข์ได้ทั้งนั้น เมื่อสติแข็งแรง ย่อมเห็นกระบวน การทำงานของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเห็นกระบวนการดังกล่าว จิตย่อมไม่เสวยอารมณ์ อันเป็นต้นเหตุของสุข ทุกข์ สุขทุกข์จึงถูกปรับสมดุลให้อยู่ในภาวะเป็นกลาง สิ่งนี้เรียกว่า ความเบิกบาน

2. ความเป็นเรา เป็นเขา คือ กระบวนการปรุงแต่งของจิต แท้จริงแล้ว ตัวเราไม่มีอยู่ คำว่าตัวเราไม่มีอยู่นี้ ไม่ใช่คำอุปมาอุปไมย แต่เป็นสิ่งที่สามารถตรวจสอบได้เอง จากการฝึกจิต ความเป็นตัวเรานั้นเปรียบ
เหมือนรถยนต์หนึ่งคัน เมื่อจับล้อไว้ทางหนึ่เครื่องยนต์ไว้ทางหนึ่ง ประตู ตัวถังไว้ทางหนึ่ง เมื่อจับแยกส่วนได้เช่นนี้ สภาพความเป็นรถยนต์ก็หมดไป เมื่อฝึกสติจนแยกกาย ความคิด และจิต ออกจากกันได้ ความเป็นตัวเราก็หมดไปด้วย เมื่อความเป็นตัวเราหมดไป ผู้ยึดมั่นถือมั่นก็หมดไปด้วย ความทุกข์ทั้งปวงก็เป็นอันยุติ

3. เราทั้งหลาย ล้วนเกิดมาหลายล้านชาติ เป็นจำนวนที่นับไม่ได้ เคยเกิดเป็นคนรวย คนจน ราชา พระ ยาจก เป็นคนฉลาด เป็นคนโง่เขลา เป็นคนพิการ เป็นคนรูปงาม เป็นชาย เป็นหญิง เป็นกระเทย เป็นทอม เป็นนักบุญ เป็นมหาโจร เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต เทวดา เคยเป็นมาทุกอย่าง ดังนั้น ถ้าชาตินี้เกิดมาดี ก็ไม่ได้แปลว่าชาติหน้าจะดี ชาตินี้อาจเป็นมหาเศรษฐี ชาติหน้าอาจเกิดเป็นสัตว์นรก ชาตินี้อาจเป็นสัตว์เดรัจฉาน ชาติหน้าอาจเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในตระกูลสูงก็เป็นได้ ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิด จงอย่าลำพองใจว่า เรานั้นดีแล้ว ประเสริฐแล้ว เพราแท้จริง ไม่มีใครเลยที่ดีกว่าใคร ทุกคนล้วนอยู่ในความสุ่มเสี่ยงทั้งสิ้น

4. จิตสุดท้ายก่อนตาย เป็นสิ่งชี้วัดว่าชาติหน้าเราจะไปเกิดเป็นอะไร ขณะที่จิตสุดท้ายเป็นสิ่งที่ควบคุม
ได้ยากที่สุด ในวินาทีสุดท้ายความเศร้า ความกลัว ความสงสัย การยึดติด และความเจ็บปวด สิ่งเหล่านี้ จะดึงมนุษย์ให้ไปปฏิสนธิจิตในภูมิเบื้องต่ำ ได้แก่ นรก เปรต เดรฉาน พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหลังจากตายไปแล้ว มีเท่าจำนวนเม็ดทรายที่ปลายนิ้ว ส่วนทรายที่เหลือบนปฐพี เทียบได้กับผู้ที่ตายแล้วไปจุติในอบายภูมิ ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว คงน้อยกว่า 0.000000001เปอร์เซ็นต์ นั่นเท่ากับว่า เป็นไปได้มากเหลือเกินว่า คนทั้งหมดที่เรารู้จัก จะไม่มีใครเลยที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ไม่เว้นแม้กระทั้งเราเอง!!!

5. ชีวิตที่เราเห็นอยู่ เป็นชีวิตชั่วคราว เมื่อเราตาย สิ่งที่เราหามาด้วยความลำบาก สิ่งที่เราเคยมั่นหมายว่าสำคัญ ทั้งความสามารถ เกียรติภูมิ ลูก เมีย ผัว หน้าที่การงาน สมบัติพัสถาน เงินทอง บ้านช่อง ที่ดิน ความภาคภูมิใจ ทั้งหมดนี้ ไม่มีอะไรเลยที่เราสามารถนำติดตัวไปได้ คำถามสำคัญที่เราควรต้องคิด คือ "ทุกวันนี้เราใช้เวลาที่มีเพื่อสิ่งใด" แน่นอนว่า เวลาเกือบทั้งหมดของเรามุ่งไปสู่สิ่งที่เราไม่สามารถนำติดตัวไปได้ เหล่านี้ คือเรื่องอันตรายที่เราสมควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเร่งด่วน

6. บุญบาปเป็นของมีจริง ทุกการกระทำของเรา ย่อมส่งผลสะท้อนกลับ ไม่วันนี้ก็วันหน้า ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า คำพูด และการกระทำ จึงเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าที่เราคิด พูดสิ่งใด ทำสิ่งใดลงไป มิได้จารึกไว้เพียงโลกนี้ หากแต่มันจะจารึกไว้ในสังสารวัฏ ในจิตของเรา และเราจะต้องเป็นผู้รับผลแห่งการกระทำของตนเอง ตลอดการเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้น จงระวังคำพูด และการกระทำของเราไว้ให้มากกว่าที่เป็นอยู่

7. ทุกคนที่เราเห็น พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน ผู้คน ทั้งคนที่รู้จัก และไม่รู้จัก ตลอดการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีใครเลยที่ไม่รู้จักกัน ไม่มีใครเลยที่ไม่เกี่ยวข้องกัน และตราบใดที่เรายังเวียนว่ายตายเกิด เราและเขา จะได้พบกันอีก ไม่ฐานะใดฐานะหนึ่ง ทำดีกับเขาวันนี้ จะพบกันในเส้นทางที่ดี ทำร้ายเขาในวันนี้ ก็จะต้อง
ตามจองเวรกันต่อไปไม่สิ้นสุด ดังนั้น คำว่า "เพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย"จึงเป็นคำที่มีนัยยะสำคัญ
กว่าที่เราคิดไว้หลายเท่า จงมองผู้อื่นให้เหมือนครอบครัวของท่าน นั่นคือ หนทางที่ดีที่สุด

8. เมื่อการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง การบริหารจัดการชีวิตของเรา ก็สมควรเป็นการบริหารจัดการชีวิตที่ครอบคลุมทุกมิติ ไม่เน้นหนักในชาติใดชาติหนึ่ง ชาตินี้ก็ต้องกินต้องใช้ แต่ชาติหน้าก็ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด กิจกรรมบางอย่าง อาจส่งผลดีสูงสุดในชาตินี้ แต่ชาติหน้าอาจทำให้ท่านไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่อัตภาพ ความเป็นมนุษย์ ดังนั้น ในทุกวัน เราควรถามตนเองว่า วันนี้เราได้เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวในชาติหน้าบ้างแล้วหรือยัง

9. เวลาที่เราเห็นตรงหน้า มีเพียงปัจจุบัน วินาทีต่อวินาที เมื่อเวลาเคลื่อนเลยไป ไม่มีใครสามารถนำ
ช่วงเวลานั้นกลับมาใช้ซ้ำได้ อดีต ไม่มีจริง เพราะอดีต คือภาพจำที่เรานำมาคิดซ้ำในเวลาปัจจุบัน ส่วนอนาคตก็ไม่มีจริง เพราะอนาคต ก็คือการปรุงแต่งในปัจจุบันของเรา จงจำไว้เสมอ ชีวิต คือเรื่องสดใหม่ ตัวท่านมีอยู่เพียงปัจจุบันการอยู่กับปัจจุบันจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิตของท่านได้และนี่คือกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขความลับของชีวิต จงอยู่กับปัจจุบันจนถึงที่สุด แล้วชีวิตจะเป็นของท่านอย่างแท้จริง

10. เป้าหมายของการเกิดเป็นมนุษย์คืออะไร บางคนบอกว่า ฉันเกิดมาเพื่อมีความสุข บางคนบอกว่า ฉันเกิดมาเพื่อสร้างสิ่งดีงามไว้ให้โลก บางคนบอกว่า ฉันเกิดมาเพื่อคนที่ฉันรัก นั่นก็เป็นสิ่งที่จะคิดกัน
ไปตามภูมิปัญญา แต่ละคนก็มีเป้าหมายชีวิตที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับพระพุทธเจ้า ท่านได้ฝากเป้าหมายไว้ให้มนุษยชาติอย่างชัดเจน เป้าหมายของการเกิดเป็นมนุษย์ในทัศนะของพระพุทธเจ้า ก็คือการดับกิเลส และทำที่สุดแห่งทุกข์ให้แจ้ง คือการดับความไม่รู้ หรืออวิชา อันเป็นต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด 
ตลอด การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ 

ขอให้เชื่อเถอะว่า เราเคยตั้งเป้าหมายชีวิตมาแล้วนับไม่ถ้วน และขอให้เชื่อเถอะว่า ทุกเป้าหมาย ทุกความปราถนา ทุกความสำเร็จ ทุกความอยากมี อยากได้ อยากเป็น เราล้วนเคยบรรลุมาแล้วก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น คงเหลือเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้นที่เรายังไม่เคยบรรลุ นั่นคือเป้าหมายแห่งการไม่เกิด ไม่ตาย 

เช่นนั้นแล้ว ถ้าชาตินี้เรายังตั้งเป้าหมายเก่าๆ ซ้ำๆ เดิมๆชีวิตของเราคงไม่ต่างอะไรกับนิยายน้ำเน่าที่นำมา เล่าซ้ำเปลี่ยนแต่เพียงชื่อแซ่ หน้าตา เสื้อผ้า หน้า ผม แต่ทุกอย่างก็ยังวนเวียนอยู่ในวังวนเก่าๆ 

เช่นนี้แล้ว การเกิดของเราคงเป็นการเกิดที่ไร้ค่า 

จงหยุดคิด พินิจ ใคร่ครวญ ด้วยสัมปชัญญะของท่าน อัตภาพความเป็นมนุษย์ คือ สิ่งล้ำค่าอันหาที่สุดมิได้ ทุกวันนี้ท่านกำลังใช้สิ่งล้ำค่าที่ว่า เพื่อแสวงหาสิ่งใดอยู่หรือ!!!

ขออนุโมทนาบุญกับพระสงฆ์ในศาสนาพุทธ..ทุกองค์..ทุกรูป..ในฐานะที่ท่านอยู่ในเส้นทางที่ควรจะเป็น ในการที่ได้เกิดเป็นมนุษย์
******󾬐*****
โมทนาสาธุครับ ^_^

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559

ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร

โลกนี้มีการพัฒนากการมานานนักจากเริ่มต้นที่มนุษย์ไม่มีที่พึ่ง ดูดินดูดาว นับถือสิ่งของใหญ่ ๆ เช่นพระอาทิตย์ พระจันทร์ ภูเขา แล้วแตกรากออกมาเป็นนับถือผี นับถือเทพเจ้า พร้อมกับคาถา อาคม มากมาย

จวบจนพระพุทธเจ้ามหาบุรุษทรงอุบัติและแสดงปฐมเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์ แสดงส่วนสุดสองอย่าง ทางสายกลางและอริยสัจสี่ หรือจะว่าพระบรมศาสดาทรงวางกระดูกสันหลัง หรือรากฐานของพระพุทธศาสนาไว้ในพระสูตรนี้ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ก็สั่งสอนให้ศิษยานุศิษย์วางรากฐานชีวืตด้วยบทสวดธัมมจักรกัปปวัตตนสูตรเช่นกัน ความจริงแล้วผู้เขียนควรที่จะโพสต์บทความนี้เป็นบทความแรกของบล็อกแห่งนี้เพราะพระสูตรนี้จะหาอะไรเทียบได้ไม่มีเลย ผู้สวดอยู่เป็นประจำมีแต่จะเจริญรุ่งเรืองทั้งโลกและทางธรรม ของบางอย่างมีค่าพันตำลึงทอง บางอย่างประมาณค่าไม่ได้ พระสูตรบทนี้ก็จัดว่าไม่สามารถประมาณค่าได้ สวดสิบจบก็ดีขึ้นสิบจบ สวดร้อยจบก็ดีขึ้นร้อยจบ สวดพันจบหลวงพ่อท่านว่าต้องรวย ศิษย์บางคนสวดจนดวงตาเห็นธรรม ของดีและฟรีอย่างนี้กรุณาเร่งรัดสวดกันเพื่อวางรากฐานชีวิต

ส่วนคาถาพาหุง มหากา นั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่าดีทางสะเดาะเคราะห์ สวดแล้วเจริญทั้งตัวเรา ครอบครัวและชาติบ้านเมืองโบราณท่านว่าคนเรามีเคราะห์ปี เคราะห์เดือน เคราะห์วัน ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง  เรามาสวด ธัมมจักร สวดพาหุง มหากา ขจัดอุปสรรคในชีวิตให้เบาบางเพราะกรรมเก่าตามท่านไม่ค่อยทัน สวดเสริมให้ชีวิตตน ครอบครัวและประเทศชาติรุ่งเรืองจะดีไหม

เนื่องจากบล็อกนี้เขียนถึงฟ้า ดิน คน สวดสองบทนี้แล้ว ฟ้าเปิด ดินรับรู้ คนมีสติ ชีวิตเราไม่ดีขึ้นให้รู้ไป ใครศรัทธานำไปปฏิบัติแล้วเห็นผลเจริญรุ่งเรือง ผู้เขียนก็ขออนุโมทนาดีใจกับท่าน ณ โอกาสนี้ 

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559

มหาเวทย์ดูดดาว

ตอนที่ดูหนังเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร วิชาที่ดูน่ากลัวแต่น่าเรียนคือมหาเวทย์ดูดดาวของประมุขพรรคสุริยันจันทรา เยิ่นหว่อสิง แต่ชีวิตจริงจะหาฝึกวิชานี้จากไหน ความจริงแผ่นดินกว้างใหญ่ จักรวาลมหาจักรวาล ยังกว้างกว่า กว้างแบบแบบไม่มีที่สิ้นสุด โชคดีที่เหล่าอาจารย์ชี้ทางเราจึงพอมีโอกาสใช้วิชาคล้าย ๆ กัน

วิชาที่หนึ่งเป็นการใช้ของศักสิทธิ์เช่นลูกแก้วต่าง ๆ มาช่วยในการดูดพลังที่ดี ๆ รวมไปถึงทรัพย์สมบัติมาให้ สิ่งศักสิทธิ์เหล่านี้จะมีคุณสมบัติสามอย่างคือดูดทรัพย์ รักษาโรค และป้องกันภัย โดยพลังงานหรือวิญญาณหรือเทพยดาที่สถิตย์อยู่ในสิ่งศักสิทธิ์นั้น ๆ จะเป็นผู้ดำเนินการตามขอบข่ายอำนาจที่ตนมี ดังนั้นเราจึงต้องทำบุญอย่างสม่ำเสมอเพื่ออุทิศให้เทพยดาผู้รักษาสิ่งศักสิทธิ์เพื่อที่ท่านจะได้มีอำนาจขยายขอบเขตพลังงานของท่านให้มากยิ่งขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ว่าขยายขอบเขตอำนาจของการดูดทรัพย์ รักษาโรค และป้องกันภัยนั่นเอง เจ้าของสิ่งศักสิทธิ์ที่รู้เคล็ดเรื่องการทำบุญ ส่งบุญให้เทพยดานี้ก็จะได้เปรียบกว่าคนที่ไม่รู้เช่น ชาวจีน ชาวญี่ปุ่น ที่ครอบครองหิน หยก ฯลฯ ที่รู้แต่ว่าของแบบมีแล้วดี แต่การที่จะมีวาสนาได้ครอบครองสิ่งศักสิทธิ์ ของวิเศษดังกล่าวข้างต้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายคือต้องมีวาสนาผูกพันกันมา ส่วนมากร้อยละ 99.99 ที่สรรหามาติดตัวหรือมาบูชานั้นมักเก๊ พลังไม่พอ หรือบางทีไปเจอเทพเกเร วิญญาณชั่วร้าย วิชาฝ่ายต่ำ ก็จะยิ่งทำให้เราแย่ลงไปอีก โบราณจารย์จึงสั่งไม่ให้สรรหาโดยพูดตัดบทว่าเหล็กไหลไพลดำพูดพร่ำเป็นบ้า แต่หากท่านยังอยากได้สิ่งศักสิทธิ์เหล่านี้มาครอบครองก็จงหมั่นทำบุญ ภาวนา รักษาศีลและอธิษฐานขอ เมื่อบุญถึงแล้วฟ้าจะเปิดให้พบครูบาอาจารย์ที่สามารถมอบของที่เหมาะแก่เรา คอยค้ำชูเราได้ในที่สุด

วิชาที่สองเป็นการรับพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมโยงกับสิ่งศักสิทธิ์โดยตรง วิชานี้ต้องได้พบกับครูบาอาจารย์ที่เกี่ยวข้องกันมาประจุพลังงานหรือลูกแก้วทิพย์ให้ จากนั้นก็จะสามารถรับพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เมื่อยามไปกราบพระ เช่นหลวงพ่อพระพุทธโสธร พระแก้วมรกต หรือสวดมนต์อยู่กับบ้านพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะไหลเข้ามาได้เช่นกัน โดยเราจะรับทราบว่ามีพลังไหลเข้าสู่ตัวเราได้เลยไม่ใช่จินตนาการเอา คือจะมีความรู้สึกเหมือนไฟฟ้าอ่อน ๆ เคลื่อนเข้าสู่ตัวเรา พระสงฆ์รูปหนึ่งที่ทุกครั้งผู้เขียนไปกราบจะรู้สึกถึงพลังได้ที่ท่านแผ่ออกมาได้อย่างชัดเจนคือหลวงพ่อเจิม พุทธวังโส มหาอริยะเมตตาแห่งวัดหนองน้ำขุ่นผู้ล่วงลับ

วิชาที่สองนี้ ผู้เขียนอยู่มาจนถึงวัยกลางคนรู้จักคนที่ทำได้อยู่เพียงผู้เดียว ปัจจุบันท่านอาจารย์ก็ยังมีชีวิตอยู่เพียงแต่ผู้เขียนไม่กล้าเปิดเผยตัวตนท่าน เพราะท่านไม่ได้อนุญาตไว้ คุณผู้อ่านจะมีโอกาสเจอท่านได้ก็ต่อเมื่อฟ้าเปิดและวาสนานำพาไปพบกันเท่านั้นเอง

สวัสดี




วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2559

วันที่ดี

คนเรามีอายุเฉลี่ย 75 ปี 15 ปีเป็นวัยเด็ก 10 ปีเป็นชายชราเหลือเวลาที่เป็นหนุ่มสาวถึงกลางคนที่ใช้ชีวิตได้เต็มที่ 50 ปี ถ้าหนึ่งวันเสียเวลานอนและทำอย่างอื่นเช่นแปรงฟันไปครึ่งวัน จะใช้ไป 25 ปีเหลือเวลา 25 ปี บางวันฟ้ามัวหม่น บางวันแดดจ้า ฝนพรำจนไม่อยากทำอะไร มีวันที่โกลาหล วันที่ป่วยไข้ มีวันที่งมงายกับรัก เราเหลือเวลาที่ดีจริง ๆ กี่ปี อย่าเอาเวลาไปทิ้งเพิ่มเพราะโลภโกรธหลงอีกเลย ใช้วันแต่ละวันให้สมกับเป็นวันดี ๆ ถนอมชีวิตไว้เถิด เพราะชีวิตเป็นของมีค่า

ตั้งต้นเอาไว้อย่างนี้เพราะชีวิตมนุษย์สั้นมาก เผลอแป็บเดียวปี อีกแป๊บเดียวสิบปี  ความรู้วิทยาการในโลกนี้มีมากมาย ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็มีถึง  84000 พระธรรมขันธ์ ในชีวิตของมนุษย์ที่วุ่นวายอยู่นี้จึงต้องใชธรรมะแบบย่อความไม่ประมาท และสติระลึกปัจจุบันเป็นหลัก

ถ้าเราจะย่อ ๆๆ แล้วก็ย่อเพื่อจะได้ไม่ต้องจำมาก เราจะทำได้โดยเอาธรรมะ 84000 พระธรรมขันธ์เป็นตัวตั้ง แล้วเราย่อมาจะได้มรรค 8 ย่อไปอีกจะได้บุญกริยาวัตถุ 3 คือ ทาน ศืล ภาวนา ย่อต่อไปก็จะเหลือแค่ ความไม่ประมาท  ฝรั่งคนหนึ่งคือนาย Spencer Johnson เขียนหนังสือชื่อ The present ขายดิบขายดีตอนปี 2003 หน้าปกเป็นรูปกล่องของขวัญ แต่เนื้อในพูดถึงปัจจุบันขณะ โดยคำว่า Present นั้นแปลว่าของขวัญก็ได้ ปัจจุบันก้ได้

ดังนั้นในฐานะมนุษย์ที่เราอยากมีวันที่ดีเป็นหลัก เราก็ควรจะใช้ชีวิตบนความไม่ประมาท เอาไม่ต้องมากทำทีละนิดทีละหน่อย ขับรถช้าลงหน่อย หลงน้อย ๆ หน่อย โกงน้อยลงหน่อย อยู่กับคนที่เรารัก ดูแลเขาเพิ่มขึ้นหน่อย เพิ่มวันที่ดีได้อีกหน่อย ชีวิตเราก็ดีขึ้นแล้ว




วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559

3 โลก และแดนกลาง

หากตัดพระนิพพานออกแล้ว ภพภูมิที่เราเข้าใจก็จะเหลือเพียง 3 ภูมิหรือ 3 โลกที่สัตว์ทั้งหลายท่องเที่ยวไปมาไม่รู้สิ้นสุด แดนมนุษย์เป็นแดนกลางและเป็นแดนเดียวที่สัตว์มีกายหยาบและเป็นสถานที่สร้างบุญ บารมีและบาปกรรมได้มหาศาล พลังงานมากมายทั้งด้านดีและร้ายก็อยู่ในแดนมนุษย์ พลังงานถูกส่งเสริม ปะทะ หักล้าง กันอยู่ตลอดเวลา มนุษย์ที่เกิดมาก็มีหลายรูปแบบ ซึ่งขอแยกย่อย ๆ ตามด้านล่างนี้

1. หมดกรรมจากนรก ยมโลกและทุคติภูมิอื่น ๆ เช่น เปรต อสุรกาย
2. หมดกรรมจากภาวะสัตว์
3. ตายจากมนุษย์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ พวกที่ระลึกชาติได้ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มนี้เพราะเวลาหลังจากตายมาเกิดสั้นมาก
4. เทพจุติ เพราะหมดบุญจากสวรรค์
5. พรหมลงมาเกิด
6. มหาเทพหรือพระโพธิสัตว์เนรมิตร่างมาเกิด อวตาร
7.พระโพธิสัตว์เกิดมาสร้างบารมี

กลุ่มที่ 6  และ 7 นี้จะมีบุญบารมีมากเป็นพิเศษเพราะตั้งใจเกิดมาสร้างบารมีโดยเฉพาะ หากมีบุญวาสนาต่อกัน ก็จะได้พบ ได้ฟังคำสอน ได้ติดตามรับใช้ ซึ่งก็จะส่งเสริมให้เรามีชีวิตดียิ่ง ๆ ขึ้นไปทั้งทางโลกและทางธรรม แต่ที่ไม่เหมือนหนังจีนคือศิษย์อยากเรียนวิชาต้องไปหาอาจารย์ แต่จริง ๆ แล้วอาจารย์จะตามหาศิษย์ เรียกศิษย์ แผ้วถางทางให้มีโอกาสเจอกัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะอาจารย์มีความสามารถรู้ว่าศิษย์อยู่ที่ใดทำอะไรอยู่ แต่ศิษย์โดยทั่วไปไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ 99% ของคนทั่วไปยังไม่รู้ว่าอาจารย์ของตนเป็นใคร ตอนต่อ ๆ ไปจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับท่านผู้มีบารมีเหล่านี้ในฐานะส่วนหนึ่งของฟ้า (เทียน )